
1. การเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended learning)
ยังจำการระบาดครั้งใหญ่ทำให้ครู นักเรียน และผู้ปกครองต้องดำเนินการเรียนการสอนแบบออนไลน์ได้หรือไม่ แม้ว่าในระยะแรกจะเกิดความยากลำบาก แต่การเรียนรู้แบบผสมผสานได้กลายเป็นแนวทางการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมการเรียนการสอนในห้องเรียนแบบดั้งเดิมเข้ากับการเรียนแบบออนไลน์ด้วยเครื่องมือดิจิทัล เทรนด์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความต้องการต่อการศึกษาที่ยืดหยุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างมาก
การเรียนรู้แบบผสมผสานช่วยให้นักเรียนได้รับประโยชน์จากการสอนแบบตัวต่อตัวและประสบการณ์การเรียนรู้ในโลกเสมือนจริง จากข้อมูลของ International Society for Technology in Education (ISTE) ระบุว่าการเรียนรู้แบบผสมผสานช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม ความหลงใหลในการเรียนรู้ และความมั่นใจของนักเรียน นอกจากนี้ การเรียนรู้แบบผสมผสานยังสนับสนุนรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลาย และเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
2. การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning)
การศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่ในห้องเรียนอีกต่อไป ในปัจจุบัน สังคมให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเองที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงการศึกษาในรูปแบบเดิม มหาวิทยาลัยซินซินเนติ (University of Cincinnati) กล่าวว่าการเรียนรู้ตลอดชีวิตช่วยพัฒนาสมอง ความเป็นอยู่ที่ดี และความภาคภูมิใจในตนเอง นอกจากนี้ การเรียนรู้ตลอดชีวิตยังนำไปสู่ความก้าวหน้าในอาชีพ เนื่องจากการแสวงหาความชอบใหม่ๆ อาจช่วยให้สามารถสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลที่มีความชอบที่คล้ายคลึงกัน
โรงเรียนนานาชาติ D-PREP มีกิจกรรมมากมาย เช่น ชมรมหลังเลิกเรียน และโปรแกรมทักษะชีวิต โปรแกรมเหล่านี้ช่วยพัฒนานักเรียนในด้านวิชาการและเสริมสร้างทักษะต่างๆ เช่น การคิดเชิงวิพากษ์ การแก้ปัญหา ภาวะผู้นำ และความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การปลูกฝังความหลงใหลในการเรียนรู้ตั้งแต่เนิ่นๆ จะเตรียมความพร้อมให้นักเรียนยอมรับความท้าทายใหม่ๆ ในชีวิตมากยิ่งขึ้น
3. การเรียนรู้จากประสบการณ์ (Experiential learning)
การเรียนรู้จากประสบการณ์ทำให้นักเรียนได้รับประสบการณ์จริงที่เชื่อมโยงความรู้ทางทฤษฎีกับการประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ โดยไม่ได้จำกัดแค่การศึกษาผ่านตำราเรียนเท่านั้น นอกจากนี้ การเรียนรู้จากประสบการณ์ยังช่วยให้นักเรียนมีโอกาสในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เช่น การบริการชุมชน การเรียนรู้ด้านการบริการ และแม้กระทั่งกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิชาการ เช่น การวิจัยระดับปริญญาตรีและหลักสูตรการศึกษาต่อต่างประเทศ บทความหนึ่งของมหาวิทยาลัยเคนท์สเตท (Kent State University) ระบุว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ช่วยให้นักเรียนมีมุมมองเกี่ยวกับโลกที่กว้างขึ้น รวมถึงมีความเข้าใจและรับรู้ถึงคุณค่าของชุมชน นอกจากนี้ นักเรียนยังได้รับความสุขจากการได้ช่วยเหลือชุมชนของพวกเขาอีกด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือ การเรียนรู้จากประสบการณ์จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในตนเองและทักษะความเป็นผู้นำของนักเรียน
ที่โรงเรียนนานาชาติ D-PREP เราเชื่อว่านักเรียนทุกคนมีศักยภาพที่จะประสบความสำเร็จโดยมีคำแนะนำที่เหมาะสม เรานำรูปแบบการเรียนรู้จากประสบการณ์มาปรับใช้ในหลักสูตร นอกจากนี้ เรายังนำหลักการที่หลากหลายมาปรับใช้ เช่น การเรียนรู้ผ่านการเล่น โดยเด็กเล็กจะมีโอกาสได้สำรวจและมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม และการเรียนรู้แบบสำรวจ โดยนักเรียนระดับมัธยมศึกษาจะมีส่วนร่วมในการศึกษาอย่างเต็มที่ ซึ่งไม่จำกัดอยู่แค่ภายในห้องเรียนเพื่อให้นักเรียนได้ใช้ทักษะและความรู้ในโลกแห่งความเป็นจริง
4. เกมเพื่อการเรียนรู้ (Gamification)
การประยุกต์ใช้เกมเพื่อการเรียนรู้ได้ปฏิวัติวิธีการศึกษาในโรงเรียน การเรียนรู้รูปแบบนี้เป็นการผสมผสานเกมให้เข้ากับการเรียนรู้เพื่อให้เกิดความสนุกและความท้าทายยิ่งขึ้น ตามข้อมูลของ EHL Insights เกมเพื่อการเรียนรู้จะกระตุ้นเกิดการหลั่งสารโดปามีน (dopamine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความสุข ซึ่งจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้น นักเรียนจะมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้นและพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา โดยเปลี่ยนการเรียนรู้เป็นการเล่นเกมที่มีคะแนน รางวัล หรือความท้าทายต่างๆ
5. การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Social Emotional Learning: SEL)
ความสำคัญของการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (SEL) เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะหลังการระบาดใหญ่ของ COVID-19 คณะกรรมการเพื่อเด็ก (Committee for Children) กล่าวว่า SEL เป็นกระบวนการในการพัฒนาทักษะการตระหนักรู้ตนเอง การควบคุมตนเอง และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทักษะเหล่านี้จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จ เนื่องจากนักเรียนจะได้พัฒนาความสามารถทางวิชาการ การตัดสินใจอย่างมีความรับผิดชอบ และการการพัฒนาในด้านต่างๆ ของชีวิต