1.แบ่งเงินที่สัดส่วน 50% เพื่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็น
จำนวนนี้ถือเป็นสัดส่วนก้อนใหญ่สุด โดยก้อนแรกนี้ถูกแบ่งออกมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับชีวิตประจำวัน หรือค่าใช้จ่ายจำเป็นต่อการอุปโภคบริโภค ตัวอย่างของค่าใช้จ่ายในหมวดนี้ อาทิเช่น ค่าผ่อนบ้านผ่อนรถ, ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์, ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง เป็นต้น ยกตัวอย่างการแบ่งเงินง่ายๆ คือ หากคุณมีเงินเดือนหรือรายรับเดือนละ 30,000 บาท ก็สามารถกันสัดส่วนตรงนี้ไว้เป็นจำนวน 15,000 บาท
2.แบ่งเงินที่สัดส่วน 30% เพื่อการใช้จ่ายที่เป็นความสุขส่วนตัว
เมื่อทำงานหาเงินมาได้อย่างเหน็ดเหนื่อย ก็ต้องมีการใช้เงินเพื่อให้ความสุขตัวเองบ้าง เช่น ทานอาหารมื้อพิเศษในโอกาสพิเศษ ช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว เป็นต้น ถึงแม้จะกันสัดส่วนนี้เป็นเงินใช้จ่ายเพื่อให้รางวัลตัวเอง แต่ควรทบทวนวางแผนให้รอบคอบว่ามีความจำเป็นจริงหรือไม่และความถี่ไม่บ่อยเกินไป เช่น อาจใช้วิธีการกำหนดจำนวนครั้งในการทานอาหารมื้อพิเศษไม่เกินเดือนละ 2 ครั้ง หรือการซื้อเสื้อผ้าใหม่เดือนละ 1 ชิ้น เป็นต้น ก็จะช่วยให้การใช้จ่ายเงินไม่เกินสัดส่วนที่ตั้งงบประมาณที่วางเอาไว้
3.แบ่งเงินที่สัดส่วน 20% เพื่อการเก็บออมและนำไปลงทุน
ส่วนสุดท้ายคืออีก 20% ที่เหลือจากรายรับต่อเดือนทั้งหมด โดยนำเงินส่วนนี้มาเก็บออมวางแผนอนาคตให้กับตนเองในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในกองทุน เช่น กองทุน SSF กองทุน RMF ที่ได้ทั้งลดหย่อนภาษีและเป็นเงินเก็บเพื่อยามเกษียณ และสามารถแบ่งซอยย่อยการเก็บออมในรูปแบบออมทรัพย์ได้อีก เนื่องจากการออมลักษณะนี้สภาพคล่องสูงเพื่อมีไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน อีกทั้งยังความเสี่ยงต่ำไม่สูญเสียเงินต้นอีกด้วย